6 ผลิตภัณฑ์ Apple ที่ไม่เคยรู้ก่อนว่ามีด้วยเหรอ!?

ทุกวันนี้เราก็รู้กันดีว่าสินค้าของ Apple มีตัวไหนบ้าง  แต่ในอดีต Apple ก็เคยออกสินค้ามามากมายที่อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร  คนส่วนใหญ่เลยไม่รู่ว่ามันมีด้วยหรือนี่?  วันนี้เราจะพาไปพบกับสินค้า Apple ที่ถูกลืมเหล่านั้นกันค่ะ




1. The Apple Printer (1979 – 1988)
apple-printer
ใครจะไปคิดว่า Apple จะเคยทำเครื่องปริ๊นท์เตอร์ขายมาก่อนด้วย  แถมยังเคยออกมาถึง 2 รุ่นด้วยกัน  คือรุ่น Silentype และรุ่น LaserWriter  ก่อนจะออกจากธุรกิจนี้

2.The Apple Collection (1986)
apple-collection
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ  แต่ Apple เคยอยู่ในธุรกิจแฟชั่นกับเขาด้วย!! แถมมาพร้อมกับโลโก้ Apple  สีสันสดใสวัยสะรุ่น  ห่างไกลกับการแต่งกายสไตล์ Minimal เรียบๆของสตีฟ จ๊อยส์ ยิ่งนัก

3.Apple Scanner (1988-1997)
apple-scanner
นอกจากเครื่องปริ๊นท์เตอร์แล้ว Apple ก็เคยทำเครื่องสแกนเนอร์ออกขายด้วย  ซึ่งก็เคยออกมาด้วยกัน 2 รุ่น ก่อนจะหยุดการขายไปในปี 1997

4.Apple Newton (1993-1998)
apple_newto
ก่อนที่จะมี iPad ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเช่นนี้ Apple เคยทำเครื่อง PDA (Personal digital assistants – เครื่องช่วยงงานส่วนบุคคล) มาก่อน ถึงแม้เจ้า Apple Newton นี้จะไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย  แต่ก็ถือเป็นจุดกำเนิดของ iPhone , iPad ที่เราใช้กันในทุกวันนี้

5.Apple QuickTake Camera (1994-1997)
apple-quicktake
QuickTake Camera นี้นับว่าเป็นกล้องดิจิตอลรุ่นแรกๆของโลกเลย ความละเอียดอยู่ที่ 0.3 ล้านพิกเซล (สมัยนั้นถือว่าดีมากแล้ว) โดยมีบริษัท Kodak และ FujiFilm เป็นผู้ผลิตให้

6.Apple Pippin (1995-1997)
pippin
Apple Pippin คือเครื่องเล่นเกมที่ใช้ Macintosh OS ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวอีกครั้งหนึ่งของ Apple เพราะสามารถขายไปได้เพียงแค่ 40,000 เครื่องเท่านั้น  เกมที่รองรับเครื่องเล่นนี้ก็มีแค่ 25 เกม  ในเวลาไม่นาน Apple Pippin ก็โบกมือลาจากตลาดไป
aripfan

Microsoft เปิดตัวแอพ “Pix” แต่งภาพให้อัตโนมัติด้วย AI หรือ “ปัญญาประดิษฐ์”


แอพพลิเคชั่น Pix ของทาง Microsoft นี้เป็นแอพกล้องสำหรับถ่ายรูปที่ใช้ระบบ AI ฉลาดๆเข้ามาจัดการปรับแต่งภาพถ่ายให้คุณโดยอัตโนมัติ  ตัวแอพไม่มีปุ่มสำหรับปรับแต่งใดๆ  คุณไม่จำเป็นต้องมานั่งปรับแต่งค่านู่นนี่นั่นเอง เพราะ AI ของแอพจะจัดการปรับแต่งค่าต่างๆให้เหมาะกับการถ่ายรูปตามสถานการณ์ต่างๆเอง เพียงแค่เปิดแอพขึ้นมาแล้วก็กดถ่ายภาพเท่านั้น

    ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายขึ้นจากภาพถ่ายสองรูปด้านล่าง  รูปบนถ่ายด้วยกล้อง iPhone ตามปกติ  ส่วนรูปล่างถ่ายด้วยแอพ Pix จะเห็นว่าแอพ Pix ฉลาดพอที่จะรู้ว่าควรทำอย่างไรให้ภาพถ่ายออกมาไม่ย้อนแสง

pix01

ถ่ายด้วยกล้อง iPhone ปกติ

pix02

ถ่ายด้วยแอพ Pix

นอกจากนี้แล้วแอพ Pix ยังมีฟีเจอร์ Best Shot ที่จะเป็นการถ่ายภาพแบบ Multiple Shot และตัวแอพ Pix จะทำการเลือกรูปที่ดีที่สุดมาให้ และลบภาพที่เหลือทิ้งไป เราไม่ต้องเสียเวลามานั่งเลือกเองอีกต่อไป


  • Microsoft Pix

    • ‘3แอพฯ’รับมือฤดูฝน ด้วยเทคโนโลยีเรดาร์ตรวจจับน้ำฝนแบบเรียลไทม์

      14677966651467796692l
      สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ. แนะนำแอพพลิเคชั่นแจ้งข้อมูลแบบทันท่วงที ด้วยเทคโนโลยีเรดาร์ตรวจจับน้ำฝนแบบเรียลไทม์ เป็นการประเมินปริมาณน้ำฝนที่กำลังจะตก เพื่อใช้วางแผนก่อนเดินทาง ซักผ้า หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ
      แอพฯแรก คือ TVIS ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จะให้ข้อมูลบ่งบอกเวลานี้ว่าฝนตกที่ไหน ผ่านการใช้เรดาร์ตรวจจับ สามารถเห็นภาพและเสียงทางกล้องซีซีทีวีได้มากกว่า 250 ตัวในประเทศไทย อีกทั้งในการค้นหายังรองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย เพียงพูดชื่อถนนที่ต้องการ

      (ios) (Android)



      แอพฯสอง “NHC” คลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศ” ของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ที่จะบ่งบอกว่าในวันที่ผ่านมามีฝนตกที่ไหนบ้าง พร้อมแสดงข้อมูลปริมาณน้ำฝนและการเตือนภัย ด้วยระบบโทรมาตรและภาพถ่ายจากดาวเทียม
      (ios) (Android)



      และแอพฯสุดท้าย “Thai Weather ของกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นแอพฯที่แจ้งว่าในวันรุ่งขึ้นฝนจะตกที่ไหน สามารถดูข้อมูลสภาพอากาศปัจจุบันและล่วงหน้าได้ไกลถึง 7 วัน พร้อมแจ้งข่าวสารเตือนภัย เส้นทางพายุ รายงานแผ่นดินไหว จากเรดาร์สภาพอากาศและภาพถ่ายจากดาวเทียม นอกจากนี้ยังมีช่องทางเปิดให้ผู้ใช้งานในพื้นที่ต่างๆ สามารถรายงานสภาพอากาศในพื้นที่นั้นได้ด้วยตนเองให้ผู้อื่นได้รับทราบ
      (ios) (Android)

      ไอเดียสุดเจ๋ง เคส Loopy สำหรับ iPhone 6, 6s, 6 Plus และ 6s Plus แค่สอดนิ้วไม่ต้องกลัวเครื่องหลุดมือ

      Loopy_Case_iPhone_1

      Loopy เคสไอเดียเจ๋งสำหรับ iPhone 6, 6s, 6 Plus และ 6s Plus ที่จะทำให้คุณไม่ต้องกลัวทำเครื่องหลุดมืออีกต่อไป

               ไม่ต้องกลัวทำเครื่องตกอีกต่อไป ด้วยเคส Loopy ไอเดียเจ๋งสำหรับ iPhone 6, 6s, 6 Plus และ 6s Plus ที่มาพร้อมยางสวมนิ้วด้านหลัง เพียงแค่สอดนิ้วเข้าไปก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเผลอทำเครื่องหลุดมือตกพื้นอีกต่อไป เพราะยางจะช่วยคล้องนิ้วเอาไว้ขณะใช้งาน ทำให้จับเครื่อง iPhone ได้กระชับมากขึ้น ไม่ว่าจะใช้งานขณะยืน นั่ง หรือนอน อีกทั้งยังสามารถพกพาได้สะดวกยิ่งขึ้น แม้จะต้องถือของหลายชิ้น ก็สามารถใช้เพียงนิ้วเดียวเกี่ยว iPhone หิ้วไปมาได้อย่างสะดวกสบาย

      Loopy_Case_iPhone_5

      เคส Loopy ยังมีดีไซน์สวยงาม พร้อมสีสันให้เลือกได้หลากหลายสไตล์ตามความชอบอีกด้วย โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ที่ราคาเริ่มต้น $25 หรือประมาณ 900 บาท

      Loopy_Case_iPhone_3Loopy_Case_iPhone_8 (1)Loopy_Case_iPhone_9Loopy_Case_iPhone_10Loopy_Case_iPhone_11
      Loopy_Case_iPhone_6Loopy_Case_iPhone_7

      kickstarter,kapook

      แก้ปัญหา iPhone 6 และ 6S ดับเมื่อปรับวันที่ 1 มกราคม 1970

      ก่อนนี้เคยเสนอข่าว  (1 มกราคม 1970 วันมรณะ! ตั้งค่าวันที่ผิด เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นที่ทับกระดาษทันที)ซึ่งหลายคนเกิดความสงสัยอยากรู้อยากร้อง จึงพาเครื่องกันไปลอง Apple Store หรือ iStudio กันมาแล้ว และไม่สามารถเข้าสู่ Mode DFD หรือสำหรับนักพัฒนาก็ยังแก้ไขไม่ได้ จนเกิดการกังวลขึ้น ล่าสุดมีเว็บนอกเผยวิธีแก้ไขแล้วอย่างเป็นทางการ

      โดยการแก้ไขเบื้องต้นนั้น แค่ปล่อยให้แบตเตอรี่ iPhone ของคุณ หรืออุปกรณ์ iOS รุ่นใหม่ ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ 64Bit ให้หมดเกลี้ยงจนเหลือ 0% (หรือให้เครื่องดับไปเลย) เพื่อเป็นการ Reset ค่าวันที่กลับมายังปัจจุบัน ถึงจะใช้งานได้ตามปกติ หรืออีกวิธีก็คือแกะเครื่องและปลดขั้วแบตเตอรี่ออก ซึ่งไม่แนะนำให้ทำเองที่บ้านนะครับ เพราะเครื่องอาจจะหมดประกัน หรือเกิดความเสียหายได้

         แล้วสาเหตุที่ทำให้เครื่องนั้นเปิดไม่ติดเมื่อตั้งวันที่ 1 มกราคม 1970 (1 มกราคม 2513) เพราะว่า ตามหลักของการเขียนโปรแกรมนั้นช่วงวันที่นั้นเรียกว่า Unix epoch หรืออีกชื่อคือ Unix Timestamp ซึ่งเป็นตัวเลขที่เริ่มนับในวินาทีแรกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 1970 ซึ่งใช้การอ้างอิงจากตัวเลขแบบ 32 bit และจะไปสิ้นสุดที่ 19 มกราคม 2038
         แล้วมีผลอะไรกับ iPhone คำตอบคือ เนื่องจาก iPhone รุ่นใหม่ ๆ ตั้งแต่ 6 และ 6S ขึ้นไป ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ 64 Bit แล้ว เมื่อตั้งวันที่ช่วงดังกล่าวจะไม่สามารถแสดงวันที่หรือค่าดังกล่าวได้ (พูดง่าย ๆ ผลเป็น 0) ดังนั้นเมื่อผลออกมาแบบนี้เครื่องก็เลยใช้งานไม่ได้นั่นเอง แต่ปัญหานี้อาจจะไม่เกิดขึ้นกับ iPhone หรือ iOS รุ่นเก่า ๆ นะครับสบายใจได้

      iphonefix_1970_th
         สุดท้ายแล้ว การพยายามทำแบบนี้กับเครื่องตัวเองเพราะอยากลอง หรือเครื่องคนอื่นและ Demo นั้นมีอาจจะส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนได้ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ อย่าไปปรับวันที่มั่วในเครื่อง เพราะอาจจะส่งผลให้เครื่องพังโดยไม่รู้ตัวได้ สุดท้ายแล้วการปล่อยแบตฯหมดเพื่อแก้ปัญหา แน่นอนว่ามันจบกับปัญหานี้ แต่คุณจะเสียบ Battery Cycle ไป โดยไม่รู้ตัวทำให้ iPhone อายุสั้นลงนะครับ
      arstechnica

      1 มกราคม 1970 วันมรณะ! ตั้งค่าวันที่ผิด เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นที่ทับกระดาษทันที

      อย่าได้ลองทำโดยเด็ดขาด! ตั้งค่าวันที่ผิด เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นที่ทับกระดาษทันที
      1 มกราคม 1970 วันมรณะ พบบั๊กใหม่สุดโหดบน iPhone ตั้งค่าวันที่ผิด เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นที่ทับกระดาษทันที
               หลังจากที่ก่อนหน้านั้น มีกรณี Error 53 กับการนำ iPhone รุ่นที่มีปุ่ม Home แบบ Touch ID ไปซ่อมโดยไม่ผ่านศูนย์ Apple ซึ่งส่งผลทำให้ตัวเครื่องใช้งานไม่ได้นั้น ล่าสุด ได้มีผู้พบบั๊กบน iPhone ที่สามารถเปลี่ยน iPhone หรูๆ ให้กลายเป็นที่ทับกระดาษแบบไร้ค่าได้เลยทันที
               โดย Zach Straley ผู้ใช้งานรายหนึ่งบนเว็บไซต์ YouTube ได้พบบั๊กอันตรายบน iPhone กับการเปลี่ยนวันที่ให้เป็น 1 มกราคม 1970 (พ.ศ. 2513) ซึ่ง จะทำให้ iPhone ไม่สามารถใช้งานอะไรได้อีกต่อไป โดยบั๊กตัวนี้ ค้นพบโดยนักพัฒนาชาวจีนรายหนึ่ง หลังจากที่ลองแก้ปัญหาเรื่องวันที่บน iOS 9.3 beta 3 แม้แต่การเข้าโหมด DFU ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ พร้อมกับแนะนำว่า อย่าได้ลองทำโดยเด็ดขาด

               สำหรับบั๊กดังกล่าว จะปรากฎบน iPhone รุ่นที่ใช้ชิป Apple A7, A8, A8X, A9 และ A9X โดยไม่ขึ้นอยู่กับว่า จะใช้ iOS เวอร์ชันใดด้วย

      Latitude เคส iPhone ตัวแรกที่ทำให้ iPhone ชาร์จไร้สายได้ทั้งมาตรฐาน Qi และ PMA

      r245(1)
                Latitude เคส iPhone ตัวแรกที่จะทำให้ iPhone สามารถชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายได้แบครอบจักรวาล โดยจะรองรับการชาร์จไร้สายได้ทั้งมาตรฐาน Qi และ PMA ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์แท่นชาร์จไร้สายรุ่นใด ที่ไหน ก็สามารถชาร์จด้วยเคส Latitude ได้ทั้งหมด แถมยังสามารถชาร์จได้เร็วเท่ากับการชาร์จด้วยสาย USB อีกด้วย

                นอกจากนี้แม้ใส่เคส Latitude ก็จะยังสามารถเสียบชาร์จชาร์จที่ช่อง Lightning Port ได้เหมือนปกติ โดยจะแถมสาย Lightning Cable ที่มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงทนทานมาให้ด้วย รวมทั้งรับประกันว่าจะยังสามารถใช้งานช่องหูฟัง 3.5 มม. ได้เหมือนปกติแม้ใส่เคส

      t244
               อักหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือความแข็งแรงและสวยงาม เนื่องจาก Latitude เป็นเคส จึงต้องมีดีไซน์ที่ดูดี มีสไตล์ พร้อมทั้งสามารถปกป้อง iPhone ไม่ให้กระทบกระเทือนหรือมีรอยขีดข่วนใด ๆ แถมยังช่วยให้จับได้กระชับมือมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

                ทั้งนี้เคส Latitude จะมีให้ให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ และสีขาว รองรับ iPhone 6, 6s, 6 Plus และ 6s Plus เตรียมวางจำหน่ายในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ที่ราคา $39 หรือประมาณ 1,400 บาท

      r240

      r241

      r242r243

      r246

      kickstarter,kapook

      iPhone พื้นที่เต็มเคลียร์อย่างไร ?ใช้ iPhone อย่างไร ไม่ให้ตัวเครื่องเต็มเร็ว?

      fun_001
      iPhone เครื่องเต็ม ทำอย่างไรดี?
             คนที่ใช้ iPhone iPad ย่อมรูู้กันดีว่าไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ในการเก็บข้อมูลได้ ซึ่งหากตัองการพื้นที่มากกว่านี้ต้องชื้อเครื่องใหม่อย่างเดียว  ทำให้ผู้ใช้ iPhone จำนวนมาก ที่ไม่สามารถจัดสรรข้อมูลภายในตัวเครื่องได้ จึงเกิดปัญหา iPhone เครื่องเต็ม ตามมานั่นเอง
             จริงอยู่ที่ถึงแม้ว่า iPhone จะไม่รองรับ microSD Card แต่ก็มีพื้นที่เก็บข้อมูลแบบออนไลน์อย่าง iCloud ให้ใช้งาน แต่เชื่อครับว่า หลายๆ ท่านไม่ค่อยใช้งาน iCloud สักเท่าไหร่ ส่วนจะให้เพิ่มเงิน 4,000 บาท เพื่อไปซื้อ iPhone ความจุ 64 GB ก็ดูจะสิ้นเปลืองไปเสียหน่อย โดยในวันนี้ ทีมงาน techmoblog จะมาเผยเทคนิค ในการจัดสรรพื้นที่บน iPhone ความจุ 16 GB ใช้อย่างไร ให้เพียงพอ มาดูกันครับ

      ตรวจเช็คพื้นที่ในตัวเครื่องว่าเหลือเท่าไหร่

      1
      ให้เข้าไปที่ Settings > General > Usage > Manage Storage โดยภายในนั้น จะมีข้อมูล 2 ส่วน นั่นก็คือ พื้นที่ที่ถูกใช้ไป กับ พื้นที่ว่าง ซึ่งผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้อีกด้วยว่า แอปพลิเคชันอะไรบ้าง ที่ใช้พื้นที่ในตัวเครื่องไปเยอะที่สุด

      ตรวจสอบดูว่า แอปฯ ไหน กินพื้นที่มากที่สุด และจำเป็นต้องใช้หรือไม่

      2
      ในส่วนของ Manage Storage จะมีข้อมูลที่ระบุพื้นที่ภายในตัวเครื่องที่แอปฯ นั้นใช้ไป จริงอยู่ที่บางแอปพลิเคชัน ตอนที่ดาวน์โหลด มีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก อย่างเช่น Spotify ที่มีขนาดเพียง 56 MB เท่านั้น แต่ข้อมูลที่อยู่ภายในนั้น กลับมีขนาดใหญ่ถึง 2 GB เนื่องจากเป็นแอปฯ สำหรับดาวน์โหลดเพลงนั่นเอง

      แอปพลิเคชันไหนที่ไม่ใช้งาน ให้ลบทิ้ง

      3
      เชื่อได้เลยครับว่า ผู้ใช้ iPhone หลายๆ ท่าน มักจะดาวน์โหลดเกมมาเก็บไว้เต็มเครื่องไปหมด แต่เล่นจริงๆ แค่ไม่กี่เกมเท่านั้น เกมไหนที่คิดว่า จะไม่เล่นแล้ว ให้ลบทิ้งไปครับ เพราะจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในตัวเครื่องได้อีกมากเลยทีเดียว

      ลบคลิปวีดีโอเก่าๆ ออกเสียบ้าง

      4
      คลิปวีดีโอ เป็นไฟล์อีกประเภทที่มีขนาดใหญ่ และกินพื้นที่ในตัวเครื่อง ถ้าหากมีคลิปไหนที่คิดว่า เก่าแล้ว และคงไม่หวนกลับมาดูอีก ให้ลบจะดีกว่า

      ตั้งค่าให้ตัวเครื่องลบข้อความเก่าๆ แบบอัตโนมัติ

      5
      บน iOS 8 ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ลบข้อความเก่าๆ แบบอัตโนมัติได้แล้วครับ ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Messages ซึ่งในส่วนของ Keep Messages สามารถเลือกได้ว่า ให้เก็บไว้นานเท่าไหร่ก่อนจะลบทิ้ง เช่น 30 วัน หรือ 1 ปี เป็นต้น แต่ถ้าหากใครที่ไม่อยากลบข้อความเก่าๆ ทิ้ง ก็ไม่ต้องตั้งค่าในส่วนนี้ครับ

      ใช้ Google+, Dropbox หรือ iCloud เป็นที่เก็บรูปแทน

      6
      แน่นอนครับว่า ผู้ใช้งานหลายๆ ท่านมักจะไม่ค่อยลบรูปออกจากเครื่อง เพราะเสียดาย แต่เพื่อให้ iPhone มีพื้นที่ในตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้น เราไม่จำเป็นต้องลบรูปทิ้งก็ได้ครับ แต่ย้ายไปเก็บไว้บน พื้นที่ฝากไฟล์แบบออนไลน์แทน อย่างเช่น Google+, Dropbox หรือ iCloud ที่ผู้ใช้ยังสามารถชมรูปได้ตลอดเวลา แถมไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ อีกด้วย

      ถ้าหากเลือกโหมดการถ่ายภาพแบบ HDR ให้เลือกเก็บแค่รูปเดียว

      7
      สำหรับผู้ใช้ที่เปิดโหมดการถ่ายภาพแบบ HDR จะสังเกตเห็นได้ว่า รูปถ่ายที่ออกมา จะมีทั้งหมด 2 รูป นั่นก็คือ รูปปกติ กับรูปแบบ HDR ที่ทำการปรับแล้ว นั่นหมายความว่า ถ่าย 1 รูป แต่ต้องเก็บรูปในตัวเครื่องเพิ่มอีก ซึ่งผู้ใช้สามารถปิดฟังก์ชัน ไม่ให้ตัวเครื่องเก็บภาพซ้อนกันได้

      ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Photo & Camera ตรงส่วน Keep Normal Photo ให้ปิดไปครับ แต่ถ้าหากต้องการเลือกภาพในภายหลัง (เพราะบางที ภาพแบบ Original ก็สวยกว่าภาพ HDR ก็มี) ก็ไม่ต้องปิดฟังก์ชันการใช้งานนี้

      เคลียร์ Cache, History, Cookie และ Reading List ออกจาก Safari

      8
      แม้ว่าจะดูเป็นสิ่งเล็กๆ ที่ไม่กินพื้นที่ภายในตัวเครื่อง แต่ถ้าหากถูกเก็บสะสมไว้นานๆ ก็กลายเป็นตัวที่ทำให้เครื่องเต็มได้เช่นกัน ซึ่งกลายเคลียร์ Cache, History, Cookie และ Reading List ออกจาก Safari เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในตัวเครื่องได้ ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Safari > Clear History and Website Data สำหรับการเคลียร์ Cache, History หรือ Cookie บน Safari

      9
      ส่วนการเคลียร์ Reading List ออกจาก Safari ให้เข้าไปที่ Settings > General > Storage & iCloud Usage > Manage Storage > Safari เลื่อนแถบ Offline Reading List ไปทางซ้ายจากนั้นกด Delete

      ใช้บริการสตรีมเพลง
      2 (1)
             หลายๆ ท่านมักจะเลือกเก็บไฟล์เพลงไว้ในตัวเครื่อง เพื่อความสะดวกในการใช้งานต่างๆ แต่ยิ่งมีจำนวนเพลงมากเท่าไหร่ ความจุในตัวเครื่อง ก็จะน้อยลงมากเท่านั้น แทนที่จะลบเพลงออก ก็เปลี่ยนมาใช้บริการ สตรีมเพลง แทน ซึ่งปัจจุบัน แอปเปิล ก็มี Apple Music ซึ่งมีเพลงให้ฟังทั่วโลก และมีค่าใช้จ่ายเพียง 180 บาทต่อเดือนเท่านั้น แต่สามารถฟังเพลงได้อย่างไม่จำกัด

      ใช้เบราว์เซอร์แทนแอปพลิเคชันบางประเภท
             จริงอยู่ที่ แอปพลิเคชัน ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน แต่ก็มีหลายแอปพลิเคชัน ที่สามารถใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้ อย่างเช่น พจนานุกรม, Wikipedia, ราคาน้ำมัน และอื่นๆ ซึ่งการใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ แทนแอปพลิเคชัน จะช่วยเพิ่มความจุภายในตัวเครื่องได้ หรือบางท่านที่ไม่ต้องการพิมพ์ URL บ่อยๆ ก็สามารถสร้าง Shortcut หน้าเว็บไซต์ดังกล่าว มาอยู่ที่หน้า Homescreen ได้ วิธีนี้ จะช่วยประหยัดเวลาในการพิมพ์ครับ

      ลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออก
             ไม่รู้ว่า ผู้ใช้จะเคยสังเกตกันหรือไม่ เมื่อทำการเชื่อมต่อ iPhone ผ่าน iTunes จะปรากฏไฟล์ในหมวด Others ซึ่งเป็นไฟล์ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ และไม่แสดงให้ผู้ใช้เห็น อย่างเช่น History บน Safari หรือการพูดคุยผ่านทางแอปแชทฯ อย่าง LINE ก็ถูกเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องเช่นกัน โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปตรวจสอบว่า แอปฯ ไหนใช้พื้นที่มากจนเกินไปบ้าง ได้ที่ Settings > General > Storage & iCloud Usage และเข้าไปที่ Manage Storage ในส่วนของ Storage แล้วเช็คว่า แต่ละแอปฯ กินพื้นที่ภายในตัวเครื่องเท่าไหร่กันบ้าง ข้อมูลไหนที่ไม่มีความจำเป็น ให้ลบออกจะดีกว่า เป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในได้ส่วนหนึ่งครับ
      hitech.sanook








      วิธีตั้งค่า iPhone,iPad iOS 9 ไม่ให้เน็ตรั่วแบบไม่รู้ตัว

      ใครที่ใช้โทรศัพท์แบบรายเดือนอาจจะเคยเสียความรู้สึก กับบิลค่าใช่จ่ายที่ทำไมโปรโมชั่น เราแค่ 100 บาท แต่ต้องจ่ายต้องจ่ายเงินเป็น 1000 บาท พันบาท  ทราบกันหรือไม่ครับว่า นอกเหนือจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตบน iPhone แบบปกติแล้ว ยังมีอีกหลายจุดที่ก่อให้เกิดอาการ “เน็ตรั่ว” โดยที่ผู้ใช้ไม่ทราบ แต่งานนี้ ต้องขอบคุณ iOS 9 ที่เพิ่มฟังก์ชันในการแจกแจงรายละเอียด การใช้งานอินเทอร์เน็ต ทำให้ทราบได้ทันทีว่า เน็ตรั่ว เกิดจากสาเหตุใดกันแน่ มาดูกันว่า เราจะตั้งค่า iPhone อย่างไร ไม่ให้เน็ตรั่วแบบไม่รู้ตัว มาดูกันครับ

      ปิดการใช้งาน 3G / 4G LTE บน iCloud
       วิธีตั้งค่า iPhone,iPad iOS 9 ไม่ให้เน็ตรั่วแบบไม่รู้ตัว
      สำหรับท่านที่ใช้ iCloud กับการแบ็คอัปข้อมูล ทั้งการฝากไฟล์เอกสาร, ข้อความแชท, อีเมล และอื่นๆ คงจะไม่ทราบกันว่า iCloud สามารถแบ็คอัปข้อมูลผ่านทางเครือข่ายมือถืออย่าง 3G และ 4G LTE ได้อีกด้วย แต่เราสามารถปิดการใช้งานดังกล่าวได้ ด้วยการเข้าไปที่ Settings > iCloud > iCloud Drive เลื่อนมาด้านล่างสุด จะเห็นคำว่า Use Cellular Data ให้ปิดการใช้งานครับ

      ปิดการดาวน์โหลด หรืออัปเดตแบบอัตโนมัติ ผ่านทาง 3G / 4G LTE
      3
      หลายๆ ท่านอาจจะทำการตั้งค่าให้ระบบ ทำการดาวน์โหลด หรืออัปเดตแอปพลิเคชันแบบอัตโนมัติ แต่คงจะไม่ทราบว่า ได้เปิดให้สามารถดาวน์โหลดด้วยการใช้ 3G หรือ 4G LTE ได้ เพื่อป้องกันเน็ตรั่ว สามารถปิดการใช้งานดังกล่าวได้ครับ ด้วยการเข้าไปที่ Settings > App and iTunes Stores และปิดการใช้งาน Use Cellular Data ซึ่งเมื่อใดที่แอปพลิเคชันมีการอัปเดต ระบบจะทำการดาวน์โหลดผ่านทาง Wi-Fi แทน

      ปิดการใช้งาน Wi-Fi Assist
      4
      สำหรับฟีเจอร์ Wi-Fi Assist มีประโยชน์ตรงที่ เมื่อมีการใช้งาน Wi-Fi อยู่ แล้วเกิดสัญญาณหายไป จะมีการสลับไปใช้เครือข่าย 3G หรือ 4G LTE ทันที เพื่อไม่ให้การใช้งานขาดตอน แต่ถ้าหากมีการสลับไปใช้งานบ่อยๆ ก็สิ้นเปลือง data อย่างแน่นอน โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปปิดการใช้งาน Wi-Fi Assist ได้ที่ Settings > Cellular > Wi-Fi Assist

      แอปฯ ไหนที่มีการใช้งาน data สูง ให้ปิดจะดีกว่า
      5
      แอปพลิเคชันส่วนใหญ่ จะสามารถใช้งานผ่านทาง 3G หรือ 4G LTE ได้ แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ คงจะไม่ทราบว่า แอปฯ ใดที่กิน data มากที่สุด ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้ครับ ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Cellular แอ ปฯ ใดที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่มีแนวโน้มที่จะกิน data มากเกินไป ให้ปิดใช้งาน และให้ใช้งานได้ก็ต่อเมื่อมีการเชื่อมต่อ Wi-Fi จะดีกว่า

      ปิดใช้งาน Background App Refresh
      5
      คงจะเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ iPhone ส่วนใหญ่ ทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า Background App Refresh มีประโยชน์ตรงที่ จะมีการอัปเดตข้อมูลของแอปฯ นั้นๆ ตลอดเวลา ทำให้เมื่อเปิดเข้ามาใช้งาน ก็ไม่ต้องรอโหลดใหม่ แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่ และกิน data โดยใช่เหตุเช่นกัน ถ้าหากแอปพลิเคชันใด ที่ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดข้อมูลตลอดเวลา แนะนำว่า ให้ปิด Background App Refresh จะดีกว่าครับ ด้วยการเข้าไปที่ Settings > General > Background App Refresh โดยสามารถปิดการใช้งานทั้งหมด หรือเลือกปิดเฉพาะแอปฯ ที่ไม่ใช้งาน

      หลีกเลี่ยงการสตรีมเพลงที่ไฟล์คมชัด คุณภาพสูง
      7
      บน Apple Music มีตัวเลือกที่ผู้ใช้สามารถเลือกสตรีมเพลงคุณภาพสูงผ่านทางเครือข่าย 3G หรือ 4G LTE ได้ ยิ่งเพลงที่มีคุณภาพเสียงดีเท่าไหร่ ก็ต้องแลกด้วยการใช้งาน 3G / 4G ที่มากขึ้นเท่านั้น เพื่อไม่ให้เน็ตรั่วเกินความจำเป็น ให้ปิดใช้งานส่วนนี้จะดีกว่า ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Music และปิดใช้งาน High Quality on Cellular

      ส่วนถ้าผู้ใช้ไม่ต้องการสตรีมเพลงผ่าน 3G หรือ 4G ก็สามารถเลือกปิดใช้งานตรง Use Cellular Data ได้เช่นกัน นั่นหมายความว่า จะสามารถสตรีมเพลงได้เมื่อมีการเชื่อมต่อ Wi-Fi เท่านั้น
      iphonehacks

      Apple จดสิทธิบัตร พัฒนาให้ iPhone สามารถไล่น้ำออกจากตัวเครื่องได้เองอัตโนมัติ

      iPhone-underwater-780x439-640x360
      ในขณะนี้สมาร์ทโฟนแบบ กันน้ำได้เริ่มออกมามากขึ้นแต่ทางฝัง Apple ยังไม่เคย มีการประกาศถึงความสามารถในการกันน้ำอย่างจริงจัง แต่ล่าสุด Apple พัฒนาอีกระดับในเรื่องการป้องน้ำใน iPhone และเป็นวิธีที่น่าตะลึงมาก โดยการใช้เทคโนโลยีตัดขอบอิเล็กโทรดเพื่อขับน้ำออกจากตัวเครื่องได้เลยทันที

      สิทธิบัตรดังกล่าวชื่อว่า “Liquid expulsion from an orifice” โดยใส่เซ็นเซอร์ไว้ใน iPhone ซึ่งเซ็นเซอร์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ตรวจจับของเหลวที่เข้าไปภายในอุปกรณ์

      apple-has-a-crazy-invention-for-self-drying-iphones-611x426

      โดยวิธีการตรวจจับว่าน้ำเข้าเครื่องหรือไม่นั้น แอปเปิลก็ได้เคยจดสิทธิบัตรไว้หลายวิธีด้วยกัน เช่น ใส่เซ็นเซอร์เพื่อวัดความชื้นที่เปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่ของเหลวไหลเข้าไปในเครื่อง หรือตรวจสอบโดยการใช้ไมโครโฟน เพื่อวิเคราะห์เสียงที่เกิดขึ้นว่ามีของเหลวอยู่ในตัวเครื่องหรือไม่ ส่วนวิธีที่จะนำน้ำออกจากตัวเครื่องด้วยตัวเองนั้น โดยหลักการของมันก็คือ จะนำขั้วอิเล็กโทรด ปล่อยประจุบวกหรือลบ เพื่อเหนี่ยวนำให้หยดน้ำที่อยู่ในเครื่องนั้น เคลื่อนที่ออกจากตัวเครื่องได้เอง

      นี่คงเป็นอีกเทคโนโลยีที่สุดล้ำอีกชิ้นหนึ่งของแอปเปิล ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าจะมีความเป็นไปได้ทางแอปเปิลจะนำฟีเจอร์ล้ำๆ นี้จะมาพร้อมกับ iPhone 7 หรือไม่
      bearta