โหลด MP 3, MP4 จาก youtube ไม่ต้องลงโปรแกรมแค่ลบ ube

วิธีที่ 1  ลบ ube https://www.youtube.com/watch?v=CEewksdCyvM แล้ว กด enter รอสักครู่

รูปภาพ 2
รูปภาพ 3
เลือกว่าโหลด MP3 หรือโหลดวีดิโอเป็น MP4 แล้วเลือกขนาดความละเอียดภาพ แล้วกด Record



วิธีที่ 2 ลบ https://www. แลัวเติม ss เข้าไปแทนจะได้   ssyoutube.com/watch?v=zCLZL-RV1tY แล้วกด Enter * Mp3 โหลดไม่ได้นะครับถ้าจะโหลดมันบังคับให้โหลดโปรแกรมของมันก่อนจึงจะโหลดได้

รูปภาพ 4
รูปภาพ 6


วิธีที่ 3 พิมพ์ to  หลัง youtubeto.com จะทำการโหลด Mp3 ให้อัตโนมัต


รูปภาพ 7
*ทั้ง 3 วิธีสามารถใช้ได้บนโทรศัพท์

Xtranslate ลากเมาส์แปลภาษา จากหน้าเว็บโดยตรงด้วย Chrome

Xtranslate ลากเมาส์แปลภาษา จากหน้าเว็บโดยตรงด้วย Chrome
Chrome เว็บเบราเซอร์ของ Google เป็นอะไรที่สารพัดประโยชน์จริงๆ สำหรับใครที่เคยประสบปัญหาเวลาไปอ่านบทความต่างประเทศ ซึ่งบางครั้งก็ต้องอาศัยเครื่องมือแปลภาษาอย่าง Google Translate แต่การที่ลากคำ คอยกด Copy Paste และคลิกสลับหน้าเว็บไปมาคงเป็นอะไรที่น่ารำคาญ ยุ่งยากพอสมควแต่จะดีแค่ใหนถ้าเราแค่ทำไฮไลท์ข้อความแล้วเอาเมาช์มันก็แปลได้ทันที โดยกาใช้สjวนขยายจาก chome web store

ขั้นแรกเข้าไปที่ chome web store  คลิกตรงส่วนขยาย (Extensions) แล้วพิมพ์ในช่องค้นหาว่า Google Translate  แล้วไปคลิกที่ เพิ่มในchome(ADD TO CHOME) จะมีป็อมอัปข้อความเด้งขึ้นมา ให้คลิกที่เพิ่มส่วนขยาย (Extensions) จะทำการติดตั้งให้อัตโนมัตเมเมื่อเสร็จแล้วไอคอน Google Translate อยู่มุมบนขวามือ

13
14

ต่อจากนี้ไปเมื่อเราจะทำแปลบทความภาษาอังกฤษเราก็แค่ไฮไลท์บทความแล้วคลิกไอคอนที่โผล่ขึ้นมาก็สามารถแปลได้แล้ว

15-horz

แต่ยังมีปํญหาอยู่ที่ว่าไม่สามารถแปลประโยคหลายๆ บรรทัดได้และมีจุดบอดอยู่เล็กน้อย ขอแนะนำแอพฯ หรือส่วนขยายอีกหนึ่งตัวที่ทำงานคล้ายๆกัน (แต่ดีกว่า) คือ Xtranslate โดยสามารถไปโหลดติดตั้งได้จาก Chrome Store เช่นเดียวกัน ซึ่งเจ้าตัวนี้สามารถลูกเล่นต่างได้หลายแบบอย่างการปรับสีหรือขนาดของตัวอักษรได้ ปรับรูปแบบกรอบสี่เหลี่ยมที่ใช้แปลได้ และสามารถลากคลุมประโยคแล้วแปลในหน้านั้นได้เลย (ขณะที่อีกตัว ได้บ้างไม่ได้บ้าง)

Image 20

* หากใครทำแล้วไม่มีไอคอนขึ้น ให้เข้าไปอัปเดท chome ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดโดยเข้าไปที่ มุมขวา 3 ขีดด้านบน แล้วไปที่การตั้งค่าไปที่ เกี่ยวกับ(about) chome จะทำการอัปเดทให้อัตโนมัต

10 แป้นพิมพ์ลัด ที่เราควรจะต้องจำและฝึกใว้


การใช้แป้นพิมพ์ลัดเป็นที่รู้กันดีว่า ทำเราเกิดความสะดวกและรวดเร็วในการทำงาน  ตัวอย่างเช่น CTRL + C  ซึ่งรู้กันอยู่แล้วว่าคือคำสั่งอะไร ซึ่งมันเร็วกว่าที่เราจะเอื้อมมือไปขยับเมาส์ทำไฮไลท์แล้วคลิกหลักจากนั้นก็กลับมาที่แป้นพิมพ์
Ctrl + C หรือ Ctrl + Insert และ Ctrl + X
ปุ่ม Ctrl + C หรือ Ctrl + Insert จะเป็นการ คัดลอกและทำไฮไลต์ข้อความที่เราเลือกส่วน Ctrl + X คือการตัดแทนการคัดลอก
ส่วน Apple นั้นการคัดลอกนั้น ปุ่มแทน Ctrl คือ Cmd + C


Ctrl + V หรือ Shift + Insert
Ctrl + V  และ Shift + Insert คือการวาง
ส่วน Apple นั้น Cmd + V.
ลองทดสอบดู Ctrl + C หรือ Ctrl + X การตัดหรือการคัดลอก Ctrl + V หรือ Shift + Insert


Ctrl + Z และ Ctrl + Y Cmd + Z และ Cmd + Y

Ctrl + Z จะเลิกทำสิ่งที่ทำไปก่อนหน้านี้ ส่วน Ctrl + Y  ทำซ้ำ
สำหรับ Apple นั้น Cmd + Z และ Cmd + Y


Ctrl + F

คือการค้นหาข้อความในหน้าปัจจุบัน


Alt + Tab หรือ Ctrl + Tab

Alt + Tab คือการกดสลับไปมาระหว่าง Tab  เมื่อเราทำงานออกมาหน้า เดสก์ท็อปต้องการเรียกโปรแกรมที่เปิดอยู่มาใช้แค่กด Alt ค้างไว้ แล้วกด Tab เพื่อเลือกโปรแกรมที่ต้องการ
Ctrl + Tab คือถ้าหากเรามีหลายแท็บที่เปิดอยู่ในเบราว์เซอร์ กด Ctrl + Tab เพื่อสลับแท็ป
Windows + Tab คือการเลือกโปรแรมที่เปิดอยู่แบบเต็มหน้าจอแบบหลายหน้าต่าง การเลือก กด Windows  ค้างไว้แล้วกด Tab เพื่อเลือกดูโปรแกรมที่ต้องการ
Apple ใช้ปุ่ม(Cmd) แทน Alt คือ  Cmd + Tab 


Ctrl + Backspace และ Ctrl + ซ้ายหรือลูกศรขวา

การกด Ctrl + Backspace จะลบข้อความเป็นคำไม่ใช้ลบตัวเดียว
Ctrl + ซ้ายหรือลูกศรขวา การจะเลื่อนเคอร์เซอร์อักษรเป็นคำแทนตัวอักษรตัวเดียว
Ctrl + Shift + ซ้ายหรือลูกศรขวา คือการทำ ไฮไลค์ซ้ายหรือขวา

 This is example text to help demonstrate how you can delete multiple words at a time using Ctrl + Backspace. Click anywhere and then press Ctrl + Backspace to delete one word at a time instead of one character.


Ctrl + S บันทึกเอกสาร

Apple Cmd + S บันทึก


Ctrl + Home และ Ctrl + End

Ctrl + Home จะย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของเอกสารและ Ctrl + End จะเลื่อนเคอร์เซอร์ไปยังจุดสิ้นสุดของเอกสาร

Apple Cmd + ลูกศรขึ้น จุดเริ่มต้นของเอกสารหรือข้อความ Cmd + ลูกศรลง จะเลื่อนเคอร์เซอร์ไปยังจุดสิ้นสุดของเอกสาร


Ctrl + P การพิมพ์เอกสารหน้าปัจจุบัน
Apple คือ Cmd + P


Page Up, Spacebar และ Page Down

Page Up และ Page Down เลื่อนขึ้นหรือเลื่อนลงขึ้นทั้งหน้า หรือค่อย ๆ เลื่อน โดยกดปุ่ม

Spacebar จะค่อยๆ  เลื่อนลง สามารถใช้ได้เมื่อเราท่องเน็ต *  แต่ถ้าเรากด spacebar + Shift หน้าเพจจะเลื่อนขึ้น

อันที่จริงแล้วมันจะมีเยอะกว่านี้ แต่ที่เอามาถือว่าจำเป็นต้องใช้บ่อย ลอกนำไปใช้ดูครับหากฝึกใช้จนความเคยขึ้นเวลาเราพิมพ์เอกสารเราอาจจะไม่ต้องจับเมาส์เลยประหยัดเวลาเยอะ

ที่มา  computerhope
 

แก้ปัญหา iPhone 6 และ 6S ดับเมื่อปรับวันที่ 1 มกราคม 1970

ก่อนนี้เคยเสนอข่าว  (1 มกราคม 1970 วันมรณะ! ตั้งค่าวันที่ผิด เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นที่ทับกระดาษทันที)ซึ่งหลายคนเกิดความสงสัยอยากรู้อยากร้อง จึงพาเครื่องกันไปลอง Apple Store หรือ iStudio กันมาแล้ว และไม่สามารถเข้าสู่ Mode DFD หรือสำหรับนักพัฒนาก็ยังแก้ไขไม่ได้ จนเกิดการกังวลขึ้น ล่าสุดมีเว็บนอกเผยวิธีแก้ไขแล้วอย่างเป็นทางการ

โดยการแก้ไขเบื้องต้นนั้น แค่ปล่อยให้แบตเตอรี่ iPhone ของคุณ หรืออุปกรณ์ iOS รุ่นใหม่ ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ 64Bit ให้หมดเกลี้ยงจนเหลือ 0% (หรือให้เครื่องดับไปเลย) เพื่อเป็นการ Reset ค่าวันที่กลับมายังปัจจุบัน ถึงจะใช้งานได้ตามปกติ หรืออีกวิธีก็คือแกะเครื่องและปลดขั้วแบตเตอรี่ออก ซึ่งไม่แนะนำให้ทำเองที่บ้านนะครับ เพราะเครื่องอาจจะหมดประกัน หรือเกิดความเสียหายได้

   แล้วสาเหตุที่ทำให้เครื่องนั้นเปิดไม่ติดเมื่อตั้งวันที่ 1 มกราคม 1970 (1 มกราคม 2513) เพราะว่า ตามหลักของการเขียนโปรแกรมนั้นช่วงวันที่นั้นเรียกว่า Unix epoch หรืออีกชื่อคือ Unix Timestamp ซึ่งเป็นตัวเลขที่เริ่มนับในวินาทีแรกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 1970 ซึ่งใช้การอ้างอิงจากตัวเลขแบบ 32 bit และจะไปสิ้นสุดที่ 19 มกราคม 2038
   แล้วมีผลอะไรกับ iPhone คำตอบคือ เนื่องจาก iPhone รุ่นใหม่ ๆ ตั้งแต่ 6 และ 6S ขึ้นไป ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ 64 Bit แล้ว เมื่อตั้งวันที่ช่วงดังกล่าวจะไม่สามารถแสดงวันที่หรือค่าดังกล่าวได้ (พูดง่าย ๆ ผลเป็น 0) ดังนั้นเมื่อผลออกมาแบบนี้เครื่องก็เลยใช้งานไม่ได้นั่นเอง แต่ปัญหานี้อาจจะไม่เกิดขึ้นกับ iPhone หรือ iOS รุ่นเก่า ๆ นะครับสบายใจได้

iphonefix_1970_th
   สุดท้ายแล้ว การพยายามทำแบบนี้กับเครื่องตัวเองเพราะอยากลอง หรือเครื่องคนอื่นและ Demo นั้นมีอาจจะส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนได้ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ อย่าไปปรับวันที่มั่วในเครื่อง เพราะอาจจะส่งผลให้เครื่องพังโดยไม่รู้ตัวได้ สุดท้ายแล้วการปล่อยแบตฯหมดเพื่อแก้ปัญหา แน่นอนว่ามันจบกับปัญหานี้ แต่คุณจะเสียบ Battery Cycle ไป โดยไม่รู้ตัวทำให้ iPhone อายุสั้นลงนะครับ
arstechnica

ยืดอายุการใช้งานให้กับแบตเตอรี่ มือถือ Android แบบง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้!

ปัจจุบันนี้มีสมาร์ทโฟนหลากหลายแบนด์ให้เลือกกันมากมาย และสิ่งที่เราต้องการนอกจากราคาและสเปคของตัวเครื่องสมาร์ทโฟนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องการคือแบตเตอรี่ที่อยากมันใช้ได้นานโดยไม่ต้องชาร์จบ่อยๆ ซึ่งในวันนี้ ทีมงาน techmoblog มีบทความดีๆ เกี่ยวกับ วิธีประหยัดแบตเตอรี่เพื่อยืดอายุการใช้งานให้กับ มือถือ Android จะมีวิธีใดบ้างนั้น ไปชมกันเลยดีกว่า
ปิดฟังก์ชันต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้งาน
2
เมื่อใดก็ตามที่จะออกจากบ้าน ก็ต้องปิดไฟ ปิดพัดลมก่อน เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน และไม่เสียค่าไฟโดยใช่เหตุ สมาร์ทโฟนก็เช่นเดียวกันครับ การปิดฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ที่ไม่ใช้งาน ก็ช่วยทำให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้ เช่น ปิดการใช้งาน Bluetooth หรือ GPS เป็นต้น และค่อยเปิดเมื่อจำเป็นต้องใช้งานจริงๆ
ปิดระบบสั่น
เชื่อหรือไม่ว่า ระบบสั่นเวลามีสายเรียกเข้า หรือสั่นขณะพิมพ์ เป็นตัวการทำให้สิ้นเปลืองแบตเตอรี่แบบสุดๆ เนื่องจากใช้พลังงานมากกว่าการใช้เสียงเรียกเข้าแบบปกติเสียอีก
ไม่จำเป็นต้องตั้งการแจ้งเตือนทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้
จริงอยู่ที่ การแจ้งเตือนจะช่วยให้เราไม่พลาดข่าวสารต่างๆ แต่ยิ่งมีการแจ้งเตือนมากเท่าไหร่ แบตเตอรี่ก็เสี่ยงต่อการหมดเร็วเท่านั้น เนื่องจากหน้าจอติดตลอดเวลานั่นเอง ฉะนั้น ควรจะตั้งการแจ้งเตือน เฉพาะแอปพลิเคชันที่จำเป็นก็พอ
ตั้งค่าความสว่างของหน้าจอเอง
3
จริงอยู่ที่การตั้งค่าหน้าจอแบบ Auto จะทำให้ได้แสงสว่างบนหน้าจอที่พอดี แต่ก็สิ้นเปลืองแบตเตอรี่เช่นกัน ฉะนั้น ผู้ใช้ควรจะตั้งค่าความสว่างของหน้าจอในระดับที่ใช้งานแล้วรู้สึกสบายตา และปรับให้สว่างขึ้นในช่วงเวลาที่จำเป็นเท่านั้นจะดีกว่า เนื่องจากหน้าจอสมาร์ทโฟน คือตัวการสูบแบตเตอรี่ชั้นดีเลยนั่นเอง
ตั้งเวลาล็อกหน้าจอแบบอัตโนมัติให้เร็วขึ้น
ผู้ใช้สามารถตั้งค่าเวลาล็อกหน้าจอเองได้ตามการใช้งาน แต่ยิ่งเราปิดหน้าจอเร็วแค่ไหน ก็จะยิ่งช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้นเท่านั้น โดยให้เข้าไปที่ Settings > Display ซึ่งตรงเมนู Sleep ให้เลือกไปที่ 15 วินาที ถือว่า เป็นช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี
ตรวจสอบดูว่า แอปฯ ไหนกินแบตเยอะสุด
4มีผู้ใช้งานหลายๆ ท่านไม่เคยทราบว่า แอปพลิเคชันที่เปิดใช้งานนั้น กินพลังงานแบตเตอรี่ไปมากแค่ไหน แม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานอยู่ ณ เวลานั้น แต่มีหลายแอปฯ ที่มีการทำงานแบบเบื้องหลัง (Backgroud mode) ซึ่งกินพลังงานแบตเตอรี่ไปพอสมควร โดยสามารถตรวจสอบได้ว่า แต่ละแอปฯ ใช้พลังงานแบตเตอรี่เท่าไหร่ ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Power > Battery Use แล้วปิดแอปพลิเคชันที่กินแบตมากที่สุด เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน
งดการใช้วอลเปเปอร์แบบภาพเคลื่อนไหว
5จริงอยู่ที่ภาพวอลเปเปอร์แบบเคลื่อนไหว ทำให้สมาร์ทโฟนดูมีลูกเล่นและน่าใช้ แต่เมื่อมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ก็จำเป็นต้องกินพลังงานแบตเตอรี่เช่นกัน นอกจากนี้ ถ้าหากสมาร์ทโฟนที่ใช้เป็นหน้าจอแบบ AMOLED การใช้ภาพพื้นหลังสีดำ จะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้มากกว่า เนื่องจากจอภาพแบบ AMOLED จะแสดงผลเป็นสีต่างๆ ยกเว้นสีดำที่จอภาพแบบนี้จะไม่ผลิตแสงออกมา ทำให้การใช้พลังงานน้อยลงไปด้วย
เปิดใช้งาน Battery Saver
ฟีเจอร์ Battery Saver จะเป็นตัวจำกัดการทำงานบางอย่างบนสมาร์ทโฟน เช่น ปิดระบบสั่นอัตโนมัติ, ปิด Location Services หรือปิดการรันแบบเบื้องหลัง โดยสามารถเข้าไปเปิดการใช้งานได้ที่ Settings > Battery
ใช้แบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐาน
6ปกติแล้ว การใช้แบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับสมาร์ทโฟน ควรจะเลือกใช้แบตเตอรี่ของแท้จากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแบรนด์นั้นๆ แต่ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ยี่ห้ออื่น ก็ควรเลือกผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน และเชื่อถือได้ เพราะนอกจากจะเป็นการยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่แล้ว ยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อตัวสมาร์ทโฟนอีกด้วย

ยืดอายุการใช้งานให้กับแบตเตอรี่ มือถือ Android แบบง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้!

techmoblog

เร่งสปีด Google Chrome บน pc และ Android ให้ทำงานเร็วขึ้น

google-chrome-logo
หากใครใช้ google ในการหาข้อมูลเรื่องใดก็ตามและคิดว่า Browser ที่คู่กันยังกะฝาแฝดคงหนีไม่พ้น  Google Chrome และเชื่อว่าเป็นตัวที่หลายคนนิยมใช้งาน ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ทำงานได้ค่อนข้างรวดเร็วและมีลูกเล่นต่างๆมากมายที่ช่วยให้การเล่นเว็บง่ายและสะดวกมากขึ้น แต่จุดบอดอย่างหนึ่งของ Chrome บน pc และ Chrome for Android คือความเร็วในการเลื่อนหน้าเพจหรือการ scroll หน้าเพจนั่นเอง เวลา scroll แล้วมันไม่ค่อยลื่นบางทีก็กระตุกบ้างเป็นครั้งคราว ในส่วนสำหรับบน Android นั้น ตอนแรกปัญหานี้ไม่ค่อยมีคนโวยสักเท่าไหร่เพราะ Android มี Browser ที่เป็น default อยู่ก่อนแล้ว (อันนี้แล้วแต่ยี่ห้อ อย่าง Samsung จะชื่อ “Internet” ส่วน Nexus จะชื่อว่า “Browser”) ซึ่งมันทำงานได้รวดเร็วกว่า Chrome ในหลายๆอย่างโดยเฉพาะการ scroll หน้าเพจที่ลื่นต่างกันอย่างเป็นได้ชัด วันนี้เรามาเพิ่มความเร็วให้กับ Chome กันดีกว่า ว่าแล้วเรามาดูวิธีตั้งค่าสำหรับ Chome บน pc และ Chrome for Android กันเลย

การตั้งค่าความเร็วบน Chome pc
Ashampoo_Snap_2016.02.10_18h56m14s_003_
1.  พิมพ์ chrome://flags ในช่อง Address แล้วกด Enter
2. กด F3 ค้นหาคำว่า Canvas
3.เลือก Disable accelerated 2D canvas Mac, Windows, Linux, Chrome OS, Android ตัวอักษรสีนำเงิน จาก Enable เป็น Disable หรือ ถ้าเป็น ภาษาไทยจาก เปฺิดใช้งาน เป็น ปิดใช้งาน
Ashampoo_Snap_2016.02.10_18h49m22s_001_
4. หลังจากนั้น คลิก RELAUNCH NOW  หรือ “การเปลี่ยนแปลงของคุณจะมีผลในครั้งต่อไปที่คุณเปิด Google Chrome” ให้เลือก “เปิดใช้งานใหม่เดี๋ยวนี้”โปรแกม Chome ทำการรีสตาร์ตัวมันเองรอสักครู่  แล้ว Chome จะเปิดขึ้นมาเอง
และอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้โปรแกม Chome เร็วขึ้น คือ

ปิด Plug-in ที่ไม่ใช้ออกไป พิมพ์ chrome://plugins

Ashampoo_Snap_2016.02.10_19h57m04s_004_
ล้างข้อมูล Clear Browsing Data หรือประวัติการท่องเว็บ พิมพ์ chrome://history/
Ashampoo_Snap_2016.02.10_19h59m49s_005_Ashampoo_Snap_2016.02.10_20h01m21s_006_

ลบบุ๊กมาร์ก (Bookmark) ที่ไม่จำเป็นหรือหน้าเว็บที่เรา Add ไว้ โดยการคลิกขวาแล้วลบเลย

เร่งความเร็ว  Chrome for Android
1. พิมพ์คำว่า chrome://flags ลงบนแถบ address bar ด้านบนแล้วกด Go
2. ลองค้นหาค่าที่ชื่อว่า “Maximum tiles for interest area” แล้วทำการปรับค่าให้เป็น 512
3. แตะที่ปุ่ม “Relaunch Now” เพื่อทำการ restart ตัว chrome เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน

Screenshot_2014-03-31-23-19-34
ซึ่งการปรับค่าบน Chrome for Android นี้เป็นการเพิ่มจำนวน RAM ที่ Chrome จะทำการจองไว้ระหว่างการใช้งานและจะทำให้การทำงานโดยรวมรวดเร็วมากขึ้น แต่สิ่งที่เราต้องยอมแลกคือ RAM ที่จะเหลือน้อยลงเพราะถูกจองให้ Chrome ไปบางส่วน สำหรับเครื่องที่มี RAM น้อย เช่น 1GB สามารถลดการปรับค่าลงมาที่ 256 ได้เช่นกัน ถ้าอยากคืนค่าเดิมก็ให้ทำการเปลี่ยนค่าเป็น Default หรือจะทำการลบ  Chrome for Android ออกจากเครื่อง

เร่งสปีด Google Chrome บน pc และ Android  ให้ทำงานเร็วขึ้น








droidsans

ยกเลิกจำพาสเวิร์ดที่ Remember ใว้เฉพาะบางเว็บบน Chrome

ใครที่เป็นสมาชิกเว็บไซค์หรือการบริการต่าง ๆ ที่ต้องใช้ อีเมล์และพาสเวิร์ด ในการเข้าระบบมักจะชินกับการจำพาสเวิร์ดหรือ ใช้วิธีการ Remember Password เป็นประจำ เพราะเป็นวิธีที่สะดวกมากที่สุดเพราะไม่ต้องมาจำพาสเวิร์ดของตัวเอง แต่บางครั้งเครื่องที่มีต้องใช้ด้วยกันหลายคน หรือต้องไปใช้งานส่วนรวมบ้างบางครั้ง การใช้ล็อคอินอัตโนมัติอาจไม่สะดวกหรือไม่ปลอดภัยต่อข้อมูลส่วนตัว ซึ่งบางอันสำคัญมากๆ ก็ต้องป้องกันไว้ก่อน

แต่หากเราคิดจะล้างข้อมูลทั้งหมดที่เรา Remember passsword หากเราจำไม่ได้ขึ้นมางานเข้าเอาละที่นี้ แต่เรื่องนี้ถ้าใครใช้ Chrome อยู่น่าจะสบายใจได้ เพราะเลือกที่จะลบหรือยังคงอยู่ของเว็บที่เรา Remember Password เอาไว้ ซึ่งวิธีการง่ายๆ เลยก็คือ

Ashampoo_Snap_2016.02.06_12h22m36s_004_

3.เมื่อเข้าไปอาจไม่เห็นทั้งหมด ให้ไปที่ shoow advanced settings…

Ashampoo_Snap_2016.02.06_12h24m42s_005_Chrome Legacy Window

4.ไปที่ Manager password

Ashampoo_Snap_2016.02.06_12h25m46s_006_Chrome Legacy Window

5.ให้ปิดที่เตรื่องกากบาทด้านหลังของรหัสที่เราต้องการเอารหัสออก

ให้ปิดด้านหลังของรหัส ที่เป็นเครืองหมายกากบาท
แต่โดยความเป็นจริงแล้วถ้าหากเป็นรหัสเกี่ยวกับเว็บธนาคารเกี่ยวกับเงินเราไม่ควรที่จะไปใช้ในเครื่องที่เป็นสาธารณะจะดีที่สุดครับ

ยกเลิกจำพาสเวิร์ดที่ Remember ใว้เฉพาะบางเว็บบน Chrome

เลิกชาร์จแบตมือถือแบบผิด ๆ ป้องกันแบตไม่เสื่อมไว

  
การชาร์จแบตเตอรี่ให้กับมือถือกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของทุกคนในยุค ปัจจุบัน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ามือถือเป็นส่วนของของการใช้ชีวิตไปแล้ว แต่หลายคนไม่ทราบว่าการชาร์จแบตเตอรี่ด้วยวิธีเหล่านี้นั้นเป็นการทำที่ไม่ ถูกต้อง นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ก็อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว และไม่ปลอดภัยอีกด้วย

ใช้อะแดปเตอร์และสายชาร์จมั่ว
       หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าอะแดปเตอร์ตัวไหนก็ใช้ชาร์จได้เหมือนกัน ซึ่งก็ถูกในบางส่วน หารู้ไม่ว่าอะแดปเตอร์หรือตัวแปลงกระแสไฟฟ้านั้นแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์ที่ ต้องการชาร์จไฟ โดยที่ตัวอะแดปเตอร์จะมีข้อมูลเชิงเทคนิคบอกเอาไว้ (ลองหยิบมาดูสิ) นั่นก็คือ Input-Output หรือกระแสไฟเข้า-ไฟออก

       ข้อมูลทางเทคนิคนี้สำคัญมาก อย่าลืมสังเกตกันด้วยนะ เช่น Input 100-240V หมายความว่าอะแดปเตอร์ตัวนี้รองรับกระแสไฟฟ้าไหลเข้าที่มีปริมาณแรงดันไฟ 100-240 โวลต์ (ในประเทศไทย ใช้แรงดันไฟฟ้าที่  220 โวลต์) ซึ่งใช้กับไฟบ้านในประเทศไทยได้นั่นเอง ตรงนี้จะไม่ค่อยเจอปัญหากันเพราะตัวที่วางขายในบ้านเราก็รองรับอยู่แล้ว แต่จะมีปัญหาเมื่อนำไปใช้งานในต่างประเทศหรือนำมาจากต่างประเทศ ดังนั้นต้องดูข้อมูลตรงนี้ก่อนใช้งานด้วย

       ต่อมาคือ Output 2A หมายความว่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้ามาชาร์จสมาร์ทโฟนจะมีการจ่ายกระแส ไฟฟ้าที่ 2A (2000mAh) ต่อชั่วโมง ถือว่ากระแสไฟฟ้าไหลเข้าเร็วมาก ดังนั้นต้องดูด้วยว่ามือถือของเรารองรับปริมาณกระแสไฟฟ้าขนาดนี้หรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ จะฉลาดพอที่จะรับรู้กระแสไฟฟ้าที่กำลังชาร์จให้กับตัวเอง แต่เราก็ต้องมีความเข้าใจในส่วนนี้ด้วย

       ดังนั้นใช้อะแดปเตอร์กับสายชาร์จที่มากับตัวเครื่องจะดีที่สุด อย่าคิดว่าใช้อะแดปเตอร์ที่ปล่อยไฟเยอะ ๆ แล้วจะทำให้แบตเต็มเร็วนะครับ หากมือถือไม่รองรับก็เปล่าประโยชน์ และยังส่งผลเสียต่อแบตมือถืออีกด้วย!

ซื้อมือถือมาใหม่ต้องชาร์จทิ้งไว้ก่อน
       วิธีการนี้ก็ถูกต้องสำหรับมือถือรุ่นเก่า ๆ ที่เมื่อซื้อมาใหม่จำเป็นต้องชาร์จไฟทิ้งไว้ที่เรียกว่ากระตุ้นแบต แต่มือถือหรือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในปัจจุบันนั้นมาพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออนจึงไม่จำเป็นต้องชาร์จทิ้งไว้นาน ๆ หลายชั่วโมงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ซึ่งคุณสมบัติเด่นของแบตเตอรี่ชนิดนี้คือชาร์จเร็วตั้งแต่ 0-80% เพื่อให้เราสามารถนำมือถือไปใช้งานได้ทันทีในช่วงเร่งด่วน แล้วหลังจาก 80% จะเปลี่ยนเป็นการชาร์จแบบช้าเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ และเมื่อชาร์จเต็ม 100% สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ ก็จะตัดไฟอัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องชาร์จทิ้งไว้ทั้งคืนนั่นเอง


ใช้แบตให้หมดแล้วค่อยชาร์จ กลัวครบรอบการชาร์จ
       เชื่อว่าหลายคนยังเข้าใจผิดว่ารอบการชาร์จจะครบ 1 รอบคือการนับทุกครั้งที่มีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งจริง ๆ แล้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะนับรอบของการชาร์จหลังจากคายประจุแบตเตอรี่ครบ 100% เท่านั้น เช่น วันนี้ใช้ความจุแบตเตอรี่ไป 75% แล้วนำไปชาร์จใหม่จน เต็ม ในวันถัดไปใช้อีก 25% รวมแล้วทั้งหมดครบ 100% แบบนี้จึงจะเป็น 1 รอบการชาร์จ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลหรือรอให้แบตเตอรี่หมดจริง ๆ แล้วค่อยชาร์จ

โดยแบตเตอรี่ในมือถือและแท็บเล็ตส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นจะเป็นแบบ Li-ion และ Li-Polymer ทั้งสองแบบมีลักษณะการทำงานในลักษณะ “นับรอบการชาร์จ(Cycle)” แต่ไม่ได้นับเป็นจำนวนครั้งนะครับ โดยแรงดันในการชาร์จจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับก็คือ

1C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ มากกว่า 65-70%

2C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 35-60%

3C หมายถึงการชาร์จ ณ ระดับพลังงานต่ำกว่า 30%

7 วิธีที่จะทำให้แบตของมือถือและแท็บเล็ตไม่เสื่อมเร็ว

1. ควรชาร์จไฟมือถือและแท็บเล็ตก็ต่อเมื่อระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ 65-70%(1C) จะดีที่สุดครับ แต่การใช้งานจริงคงจะได้ระดับ 35-60%(2C) ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ครับ ซึ่งจากผลการทดสอบจากต่างประเทศได้ระบุว่า หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับ 3C จะสามารถชาร์จได้ประมาณ 300 รอบ(Cycle) แต่หากเราชาร์จที่ระดับ 1C และ 2C จะสามารถชาร์จได้มากกว่า 400-500 รอบ (Cycle) “ดังนั้นไม่ควรชาร์จในขณะที่แบตต่ำกว่า 30% นั่นเอง เพราะมันจะเสื่อมเร็ว”

2. อยากจะชาร์จเมื่อไรก็ชาร์จไป (ตามข้อที่ 1) แต่ห้ามใช้แบตจนหมดเกลี้ยงในระดับเปิดเครื่องไม่ติด(แบตเหลือ 0%) โดยเด็ดขาดเพราะแบตมันจะพังไวมาก!!

3. ถ้าหากไม่ได้ใช้มือถือหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานานๆ และแบตเตอรี่สามารถถอดออกมาได้ ควรถอดแบตเตอรี่เก็บไว้ในขณะที่มีประจุประมาณ 40% และควรที่จะเก็บเอาไว้ในที่เย็น และไม่มีความชื้นครับ โดยค่า 40% นั้นเป็นตัวเลขที่มาจากห้องทดลองเลยทีเดียว

4. มือถือและแท็บเล็ตในปัจจุบันนั้น มีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จแบตจนเต็ม 100% และมันจะต่อไฟตรงเหมือนกับที่เราเห็นมันขึ้นเป็นรูปสายไฟแทนฟ้าผ่าครับ แต่ถ้าหากแบตมันลดลงเพียง 1% มันก็จะชาร์จใหม่ ดังจะเห็นว่าไม่ว่าเราจะเล่นเกมส์หนักหน่วงขนาดไหนในขณะที่ชาร์จมันก็จะเต็มตลอด (ไม่เหมือนโน๊ตบุ๊คที่จะตัดไฟเมื่อแบตเต็ม และชาร์จใหม่เมื่อแบตลดลงเหลือ 90%) ซึ่งจะทำให้เราสูญเสียรอบการชาร์จไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อเราชาร์จเสร็จก็ควรถอดปลั๊กเพื่อนำมาใช้งาน และเมื่อถึงระดับ 35-70% ค่อยนำกลับไปชาร์จใหม่จะดีที่สุด

5. ควรใช้ที่ชาร์จที่มีคุณภาพ และหลีกเลี่ยงที่ชาร์จปลอมเพราะอาจจะทำให้จ่ายไฟไม่นิ่งได้ และสิ่งที่หลายคนนั้นมองข้ามไปนั่นก็คือ สายไฟที่เราใช้ชาร์จนั่นเอง ก็ควรที่จะเป็นสายที่มีคุณภาพในการนำไฟฟ้าได้ดีในระดับหนึ่งเหมือนกัน

6. หลีกเลี่ยงการทำแบตเตอรี่ตกพื้น เพราะอาจจะทำให้สารเคมีในแบตรั่วไหล หรือขั้วแบตอาจจะหลุดออกมาก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลให้จ่ายไฟไม่นิ่ง และการใช้งานกับตัวเครื่องมือถือหรือแท๊บเลทมีปัญหาได้


7. เวลาที่จะชาร์จไฟ ควรเสียบที่ชาร์จกับปลั๊กไฟ ก่อนแล้วค่อยเอาหัวชาร์จมาเสียบกับมือถือหรือแท็บเล็ตอีกทีเพื่อป้องกันไฟกระชากครับ

sudsoi
    

iPhone พื้นที่เต็มเคลียร์อย่างไร ?ใช้ iPhone อย่างไร ไม่ให้ตัวเครื่องเต็มเร็ว?

fun_001
iPhone เครื่องเต็ม ทำอย่างไรดี?
       คนที่ใช้ iPhone iPad ย่อมรูู้กันดีว่าไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ในการเก็บข้อมูลได้ ซึ่งหากตัองการพื้นที่มากกว่านี้ต้องชื้อเครื่องใหม่อย่างเดียว  ทำให้ผู้ใช้ iPhone จำนวนมาก ที่ไม่สามารถจัดสรรข้อมูลภายในตัวเครื่องได้ จึงเกิดปัญหา iPhone เครื่องเต็ม ตามมานั่นเอง
       จริงอยู่ที่ถึงแม้ว่า iPhone จะไม่รองรับ microSD Card แต่ก็มีพื้นที่เก็บข้อมูลแบบออนไลน์อย่าง iCloud ให้ใช้งาน แต่เชื่อครับว่า หลายๆ ท่านไม่ค่อยใช้งาน iCloud สักเท่าไหร่ ส่วนจะให้เพิ่มเงิน 4,000 บาท เพื่อไปซื้อ iPhone ความจุ 64 GB ก็ดูจะสิ้นเปลืองไปเสียหน่อย โดยในวันนี้ ทีมงาน techmoblog จะมาเผยเทคนิค ในการจัดสรรพื้นที่บน iPhone ความจุ 16 GB ใช้อย่างไร ให้เพียงพอ มาดูกันครับ

ตรวจเช็คพื้นที่ในตัวเครื่องว่าเหลือเท่าไหร่

1
ให้เข้าไปที่ Settings > General > Usage > Manage Storage โดยภายในนั้น จะมีข้อมูล 2 ส่วน นั่นก็คือ พื้นที่ที่ถูกใช้ไป กับ พื้นที่ว่าง ซึ่งผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้อีกด้วยว่า แอปพลิเคชันอะไรบ้าง ที่ใช้พื้นที่ในตัวเครื่องไปเยอะที่สุด

ตรวจสอบดูว่า แอปฯ ไหน กินพื้นที่มากที่สุด และจำเป็นต้องใช้หรือไม่

2
ในส่วนของ Manage Storage จะมีข้อมูลที่ระบุพื้นที่ภายในตัวเครื่องที่แอปฯ นั้นใช้ไป จริงอยู่ที่บางแอปพลิเคชัน ตอนที่ดาวน์โหลด มีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก อย่างเช่น Spotify ที่มีขนาดเพียง 56 MB เท่านั้น แต่ข้อมูลที่อยู่ภายในนั้น กลับมีขนาดใหญ่ถึง 2 GB เนื่องจากเป็นแอปฯ สำหรับดาวน์โหลดเพลงนั่นเอง

แอปพลิเคชันไหนที่ไม่ใช้งาน ให้ลบทิ้ง

3
เชื่อได้เลยครับว่า ผู้ใช้ iPhone หลายๆ ท่าน มักจะดาวน์โหลดเกมมาเก็บไว้เต็มเครื่องไปหมด แต่เล่นจริงๆ แค่ไม่กี่เกมเท่านั้น เกมไหนที่คิดว่า จะไม่เล่นแล้ว ให้ลบทิ้งไปครับ เพราะจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในตัวเครื่องได้อีกมากเลยทีเดียว

ลบคลิปวีดีโอเก่าๆ ออกเสียบ้าง

4
คลิปวีดีโอ เป็นไฟล์อีกประเภทที่มีขนาดใหญ่ และกินพื้นที่ในตัวเครื่อง ถ้าหากมีคลิปไหนที่คิดว่า เก่าแล้ว และคงไม่หวนกลับมาดูอีก ให้ลบจะดีกว่า

ตั้งค่าให้ตัวเครื่องลบข้อความเก่าๆ แบบอัตโนมัติ

5
บน iOS 8 ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ลบข้อความเก่าๆ แบบอัตโนมัติได้แล้วครับ ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Messages ซึ่งในส่วนของ Keep Messages สามารถเลือกได้ว่า ให้เก็บไว้นานเท่าไหร่ก่อนจะลบทิ้ง เช่น 30 วัน หรือ 1 ปี เป็นต้น แต่ถ้าหากใครที่ไม่อยากลบข้อความเก่าๆ ทิ้ง ก็ไม่ต้องตั้งค่าในส่วนนี้ครับ

ใช้ Google+, Dropbox หรือ iCloud เป็นที่เก็บรูปแทน

6
แน่นอนครับว่า ผู้ใช้งานหลายๆ ท่านมักจะไม่ค่อยลบรูปออกจากเครื่อง เพราะเสียดาย แต่เพื่อให้ iPhone มีพื้นที่ในตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้น เราไม่จำเป็นต้องลบรูปทิ้งก็ได้ครับ แต่ย้ายไปเก็บไว้บน พื้นที่ฝากไฟล์แบบออนไลน์แทน อย่างเช่น Google+, Dropbox หรือ iCloud ที่ผู้ใช้ยังสามารถชมรูปได้ตลอดเวลา แถมไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ อีกด้วย

ถ้าหากเลือกโหมดการถ่ายภาพแบบ HDR ให้เลือกเก็บแค่รูปเดียว

7
สำหรับผู้ใช้ที่เปิดโหมดการถ่ายภาพแบบ HDR จะสังเกตเห็นได้ว่า รูปถ่ายที่ออกมา จะมีทั้งหมด 2 รูป นั่นก็คือ รูปปกติ กับรูปแบบ HDR ที่ทำการปรับแล้ว นั่นหมายความว่า ถ่าย 1 รูป แต่ต้องเก็บรูปในตัวเครื่องเพิ่มอีก ซึ่งผู้ใช้สามารถปิดฟังก์ชัน ไม่ให้ตัวเครื่องเก็บภาพซ้อนกันได้

ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Photo & Camera ตรงส่วน Keep Normal Photo ให้ปิดไปครับ แต่ถ้าหากต้องการเลือกภาพในภายหลัง (เพราะบางที ภาพแบบ Original ก็สวยกว่าภาพ HDR ก็มี) ก็ไม่ต้องปิดฟังก์ชันการใช้งานนี้

เคลียร์ Cache, History, Cookie และ Reading List ออกจาก Safari

8
แม้ว่าจะดูเป็นสิ่งเล็กๆ ที่ไม่กินพื้นที่ภายในตัวเครื่อง แต่ถ้าหากถูกเก็บสะสมไว้นานๆ ก็กลายเป็นตัวที่ทำให้เครื่องเต็มได้เช่นกัน ซึ่งกลายเคลียร์ Cache, History, Cookie และ Reading List ออกจาก Safari เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในตัวเครื่องได้ ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Safari > Clear History and Website Data สำหรับการเคลียร์ Cache, History หรือ Cookie บน Safari

9
ส่วนการเคลียร์ Reading List ออกจาก Safari ให้เข้าไปที่ Settings > General > Storage & iCloud Usage > Manage Storage > Safari เลื่อนแถบ Offline Reading List ไปทางซ้ายจากนั้นกด Delete

ใช้บริการสตรีมเพลง
2 (1)
       หลายๆ ท่านมักจะเลือกเก็บไฟล์เพลงไว้ในตัวเครื่อง เพื่อความสะดวกในการใช้งานต่างๆ แต่ยิ่งมีจำนวนเพลงมากเท่าไหร่ ความจุในตัวเครื่อง ก็จะน้อยลงมากเท่านั้น แทนที่จะลบเพลงออก ก็เปลี่ยนมาใช้บริการ สตรีมเพลง แทน ซึ่งปัจจุบัน แอปเปิล ก็มี Apple Music ซึ่งมีเพลงให้ฟังทั่วโลก และมีค่าใช้จ่ายเพียง 180 บาทต่อเดือนเท่านั้น แต่สามารถฟังเพลงได้อย่างไม่จำกัด

ใช้เบราว์เซอร์แทนแอปพลิเคชันบางประเภท
       จริงอยู่ที่ แอปพลิเคชัน ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน แต่ก็มีหลายแอปพลิเคชัน ที่สามารถใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้ อย่างเช่น พจนานุกรม, Wikipedia, ราคาน้ำมัน และอื่นๆ ซึ่งการใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ แทนแอปพลิเคชัน จะช่วยเพิ่มความจุภายในตัวเครื่องได้ หรือบางท่านที่ไม่ต้องการพิมพ์ URL บ่อยๆ ก็สามารถสร้าง Shortcut หน้าเว็บไซต์ดังกล่าว มาอยู่ที่หน้า Homescreen ได้ วิธีนี้ จะช่วยประหยัดเวลาในการพิมพ์ครับ

ลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออก
       ไม่รู้ว่า ผู้ใช้จะเคยสังเกตกันหรือไม่ เมื่อทำการเชื่อมต่อ iPhone ผ่าน iTunes จะปรากฏไฟล์ในหมวด Others ซึ่งเป็นไฟล์ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ และไม่แสดงให้ผู้ใช้เห็น อย่างเช่น History บน Safari หรือการพูดคุยผ่านทางแอปแชทฯ อย่าง LINE ก็ถูกเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องเช่นกัน โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปตรวจสอบว่า แอปฯ ไหนใช้พื้นที่มากจนเกินไปบ้าง ได้ที่ Settings > General > Storage & iCloud Usage และเข้าไปที่ Manage Storage ในส่วนของ Storage แล้วเช็คว่า แต่ละแอปฯ กินพื้นที่ภายในตัวเครื่องเท่าไหร่กันบ้าง ข้อมูลไหนที่ไม่มีความจำเป็น ให้ลบออกจะดีกว่า เป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในได้ส่วนหนึ่งครับ
hitech.sanook








วิธีแก้ปัญหามือถือ Android ค้าง ปิดเครื่องไม่ได้ กับรุ่นที่ถอดฝาหลังไม่ได้ ทำอย่างไรมาดูกัน

1 (1)
วิธีแก้ปัญหามือถือ Android ค้าง  ปิดเครื่องไม่ได้ ห่างรุ่นที่สามารถถอดฝาหลังออกได้คงจะไม่มีปํญหาอะไรแค่ถอดแบตเตอรี่มันออกมา แต่สำหรับรุ่นที่ไม่สามาถจะถอดฝาหลังได้นี้สิ มาดูวิธีแก้ปํญหาว่าจะทำอย่างไร

วิธีแก้ปัญหาสำหรับมือถือที่ถอดแบตเตอรี่ไม่ได้
        หากปัญหานี้เกิดขึ้นกับมือถือ Android ที่ถอดแบตเตอรี่เองไม่ได้ เครื่องค้าง กดที่หน้าจอก็ไม่ได้, กดปุ่มปิดเครื่องค้างไว้ก็ไม่ทำงาน งานเข้าแล้ว !!! จะปิดเครื่องอย่างไร เพื่อเปิดเครื่องใหม่
1. ในขณะที่หน้าจอยังติดอยู่ ให้เราทำการกดปุ่ม “Volume Down+Home+Power” พร้อมกันค้างไว้จนเครื่องสั่น ซึ่งวิธีนี้เราเรียกว่าการเข้า “Download Mode” ปกติจะเอาไว้แฟลชรอมหรือรูทเครื่องนั่นเอง
2. หลังจากเครื่องสั่นแล้ว บนหน้าจอจะขึ้นแจ้งว่าต้องการเข้า “Download Mode” หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ ให้เรากดปุ่ม Volume Down (ปุ่มลดเสียง) เพื่อยกเลิกแล้วมือถือของเราก็จะทำการรีสตาร์ทเครื่องอัตโนมัติ

วิธีแก้ปัญหามือถือ Android ค้าง ปิดเครื่องไม่ได้ กับรุ่นที่ถอดฝาหลังไม่ได้ ทำอย่างไรมาดูกัน
        เพียงเท่านี้มือถือที่หน้าจอค้างจนทำอะไรไม่ได้ ก็สามารถรีสตาร์ทเครื่องใหม่ได้แล้วครับ
         ปัจจุบันมือถือ Android บางรุ่นที่ถอดแบตเตอรี่เองไม่ได้ จะมีรูสำหรับรีเซ็ตเครื่องมาให้ด้วย แต่ถ้าไม่มี ก็ลองหาดูว่ารุ่นมือถือที่เราใช้นั้นเข้า “Download Mode”

techmoblog